วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โรคที่เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์


โรคที่เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์
โรค หมายถึง ความไม่สบายหรือการเกิดภาวะปกติขึ้นในร่างกาย โดยแสดงอาการผิดปกติหรือมีอาการเจ็บป่วยออกมาให้เห็น เช่น เป็นไข้ อ่อนเพลีย อาเจียน อุจจาระร่วง ปวดศีรษะ ซึ่งอาการที่ปรากฏนั้นอาจจะเป็นอยู่ระยะหนึ่งแล้วหาย หรือกลับมาเป็นซ้ำอีกก็ได้ หรืออาจแสดงอาการอยู่ตลอดไป จนอาจส่งผลทำให้อวัยวะของร่างกายเกิดความพิการ ทุพพลภาพ หรืออาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
พฤติกรรมสุขภาพ หมายถึง การกระทำหรือการปฏิบัติของบุคคลที่มีผลต่อสุขภาพของตนเอง ครอบครัว หรือชุมชน โดยแสดงออกให้เห็นใน 2 ลักษณะ จากการปฏิบัติให้เกิดผลดีหรือที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เป็นการปฏิบัติทีส่งผลดีต่อสุขภาพและถือว่าเป็นพฤติกรรมสุขภาพที่ดี ส่วนพฤติกรรมการเสพสารเสพติด การสูบบุหรี่ การขับรถโดยประมาท เป็นการปฏิบัติที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเป็นโรค ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ดี
โรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อนหมายถึงภาวะที่กรดในกระเพาะไหลย้อนมาในหลอดอาหารทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก
โครงสร้างของกระเพาะอาหาร
เมื่อเรารับประทานอาหารทางปาก อาหารจะถูกเคี้ยวและกลืนเข้าหลอดอาหาร อาหารจะถูกบีบไล่ไปยังกระเพาะอาหาร ระหว่างรอยต่อของกระเพาะอาหารและหลอดอาหารจะมีหูรูดหรือที่เรียกว่า Sphincter ทำให้ที่ปิดมิให้อาหารหรือกรดไหลย้อนกลับไปยังหลอดอาหาร เมื่ออาหารอยู่ในกระเพาะจะมีกรดออกมาจำนวนมาก เมื่ออาหารได้รับการย่อยแล้วจะถูกการบีบไปยังลำไส้เล็ก ดังนั้นหากมีกรดไหลย้อนไปยังหลอดอาหารก็จะมีอาการเจ็บหน้าอก
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร
คือภาวะที่กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือแสบหน้าอก บางครั้งอาจจะรู้สึกรสเปรี้ยว
สาเหตุของกรดไหลย้อน
  • Hiatus hernia (คือโรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารส่วนต้นเข้าไปในกำบังลม)
  • ดื่มสุรา
  • อ้วน
  • ตั้งครรภ์
  • สูบบุหรี่
  • อาหารรสเปรี้ยว เผ็ด
  • ช้อกโกแลต
  • อาหารมัน ของทอด
  • หอมกระเทียม
  • มะเขือเทศ
อาการของกรดไหลย้อน
อาการทางหลอดอาหาร
  • อาการปวดเสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้มปี่ที่เรียกว่าร้อนใน (heart burn) บางครั้งอาจจะร้าวไปที่คอได้
  • รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอ
  • กลืนลำบาก หรือกลืนแล้วเจ็บ
  • เจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้า
  • รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือมีรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก
  • มีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคอตลอดเวลา
  • เรอบ่อย คลื่นไส้
  • รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อย
อาการทางกล่องเสียง และปอด
  • เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้าหรือมีเสียงผิดปกติจากเดิม
  • ไอเรื้อรัง
  • ไอ หรือ รู้สึกสำลักในเวลากลางคืน
  • กระแอมไอบ่อย
  • อาการหอบหืดแย่ลง
  • เจ็บหน้าอก
  • เป็นโรคปอดอักเสบเป็นๆหายๆ
การรักษา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
  • ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูงทำให้กรดไหลย้อนได้มาก
  • งดบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก
  • ใส่เสื้อหลวมๆ
  • ไม่ควรจะนอน ออกกำลังกาย หรือยกของหนักหลังออกกำลังกาย
  • งดอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง
  • งออาหารมันๆ อาหารทอด อาหารที่ปรุงด้วยหัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ช้อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ เผ็ด เปรี้ยว เค็มจัด
  • รับประทานอาหารพออิ่ม
  • หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอักลม เบียร์ สุรา
  • นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยหนุนที่ขาเตียง ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะเพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง
การรักษาด้วยยา
  • Antacids เป็นยาตัวแรกที่ใช้ สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่มาก
  • ใช้ยา proton pump inhibitor ซึ่งเป็นยาที่ลดกรดได้เป็นอย่างดีอาจจะใช้เวลารักษา1-3 เดือน เทื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ก็อาจจะลดยาลงได้ยาที่นิยมใช้ได้แก่ omeprazole , lansoprazole , pantoprazole , rabeprazole, และ esomeprazole
  • หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ทำให้กระเพาะหลั่งกรดมาก หรือทำให้หูรูดหย่อน เช่น ยาแก้ปวด aspirin NSAID VITAMIN C
หากให้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรจะต้องตรวจเพิ่มเติมได้แก่
  • การกลืนแป้งตรวจกระเพาะ
  • การส่องกล้องตรวจกระเพาะ
การรักษาโดยการผ่าตัด
จะผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
โรคแทรกซ้อน
  • หลอดอาหารที่อักเสบอาจจะทำให้เกิดแผล และมีเลือดออด หรือหลอดอาหารตีบทำให้กลืนอาหารลำบาก
  • อาจจะทำให้โรคปอดแย่ลง เช่นโรคหอบหืดเป็นมากขึ้น ไอเรื้อรัง ปอดอักเสบ

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มาออกกำลังกายกันเถอะ



        ณ ปัจจุบันโลกของเรามีการวิวัฒนาการมากมายหลากหลายเช่น ทางด้านการขนส่ง, ที่อยู่อาศัย, โรคภัยต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารการกินและสื่อบันเทิงของคนในปัจจุบันจนทำให้คนขาดการออกกำลังกาย จนทำให้เป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานกันมากขึ้น เนื่องจากกินอาหารประเภทนึงที่เรียกว่า “junkfood” มากขึ้น หรือก็คือพวก เบอร์เกอร์ นักเก็ต ต่างๆนั่นเอง ซึ่งของกินเหล่านี้นั่นได้สร้างปัญหาให้แก่คนไทยในปัจจุบันมาก เนื่องจากทำให้เกิดโรคอ้วน และโรคเบาหวาน อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เด็กไทยนั้นขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั่นคือ สื่อบันเทิงต่างๆที่ดึงดูดความสนใจเด็กมากกว่ากีฬา เนื่องจากไม่ต้องเสียเหงื่อแต่ก็ทำให้เราสนุกสนานได้
            หากเรามองถึงอนาคตแล้วละก็ โอกาสที่จะมีประชากรผู้ที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน หรือ เป็นโรคต่างๆ จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากการที่มีสื่อบันเทิงสมัยใหม่ทำให้เรานั้นไม่อยากออกกำลังกายเพราะมันสบายและสนุกสนานกว่า ละแน่นอนว่าเวลาเราดูหนังหรือเล่นเกมส์เราต้องหยิบขนมขึ้นมากินอย่างแน่นอน ซึ่งมันเป็นผลเสียต่อร่างกายคนเราในอนาคตอย่างมาก
            ในทางกลับกันหากเรารู้จักแบ่งเวลา แล้วหันมาออกกำลังกายกันมากขึ้นสุขภาพของเรานั้นก็จะยิ่งแข็งแรงทั้งจิตและกาย ละยังสามารถทำให้รู้จักแพ้ชนะ รู้จักสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง และยังเป้นการฝึกสติที่ดีอีกด้วย แต่แน่นอนว่าการออกกำลังกายมากๆนั้นก็ให้ผลเสียแก่เราเหมือนกัน เพราะมันจะทำให้อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออักเสบ จนอาจไม่สบายได้เช่นกัน ดังนั้นเราทุกคนควรหันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสมกับร่างกายของเรา

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ภูมิปัญญาไทย และ การแพทย์แผนไทย


ภูมิปัญญาไทย
ภูมิปัญญาไทย ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom หมายถึง ความรู้ความสามารถ วิธีการผลงานที่คนไทยได้ค้นคว้า รวบรวม และจัดเป็นความรู้ ถ่ายทอด ปรับปรุง จากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จนเกิดผลิตผลที่ดี งดงาม มีคุณค่า มีประโยชน์ สามารถนำมาแก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตได้แต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชนไทย ล้วนมีการทำมาหากินที่สอดคล้องกับภูมิประเทศ มีผู้นำที่มีความรู้ มีฝีมือทางช่าง สามารถคิดประดิษฐ์ ตัดสินใจแก้ปัญหาของชาวบ้านได้ ผู้นำเหล่านี้ เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้ทรงภูมิปัญญาไทย
ลักษณะของภูมิปัญญาไทย
  • 1. ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะเป็นทั้งความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤติกรรม
  • 2. ภูมิปัญญาไทยแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
  • 3. ภูมิปัญญาไทยเป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิตของคน
  • 4. ภูมิปัญญาไทยเป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรับตัว และการเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม
  • 5. ภูมิปัญญาไทยเป็นพื้นฐานสำคัญในการมองชีวิต เป็นพื้นฐานความรู้ในเรื่องต่างๆ
  • 6. ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะเฉพาะ หรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง
  • 7. ภูมิปัญญาไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม
ภูมิปัญญาไทยสามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลักษณะที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกัน คือ
  • 1. ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันระหว่างคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช และธรรมชาติ
  • 2. ความสัมพันธ์ของคนกับคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคม หรือในชุมชน
  • 3. ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งสิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้ทั้งหลาย
ทั้ง 3 ลักษณะนี้ คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท้อนออกมาถึงภูมิปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิปัญญาจึงเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตของคนไทย


ตัวอย่างภูมิปัญญาไทย ได้แก่
  • พืชสมุนไพรนำมาเป็นอาหาร และ ใช้สกัดเป็นยารักษาโรค การทำเครื่องมือจับสัตว์
  • ศิลปะมวยไทย
  • ภาษาท้องถิ่น
  • การแกะสลักเครื่องปั้นดินเผา
  • จิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่างๆ
  • การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่
  • การทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา
  • การทอผ้าไหม ทอผ้าฝ้าย
การแพทย์แผนไทย
การแพทย์พื้นบ้านของไทย  เป็นการดูแลสุขภาพที่มีมาแต่ดั้งเดิมพร้อมๆ กับการกำเนิดของชาติไทย  เกิดจากการเรียนรู้ธรรมชาติ  ลองผิดลองถูก  และจดจำบอกเล่าสืบต่อกันมา  มีความแตกต่างกันไปตามสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์  เศรษฐกิจ  สังคม  วัฒนธรรม  และความเชื่อต่างๆ  เช่น  การแพทย์และสมุนไพรภาคเหนือ  ภาคใต้  เป็นต้น
               
          สำหรับการแพทย์พื้นบ้านอีสานเป็นกระบวนการที่เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างปัจจัยต่างๆ  เช่น  สภาพภูมิศาสตร์  ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์  และกระบวนการทางวัฒนธรรมนำไปสู่การทดลองเรียนรู้  การถ่ายทอดในกลุ่มของตนเอง  การแพทย์พื้นบ้านอีสานประกอบด้วยการป้องกัน (Prevention)  และการรักษา  (Curation)  และใช้วิธีทางธรรมชาติ  ไสยศาสตร์  และพุทธไสยศาสตร์
 
          ชาวอีสานเชื่อเรื่องผี  เชื่อว่าผู้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่คือ  ผีแถน  หรือผีฟ้าพญาแถน  แถนเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง  ให้กำเนิดดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  โลกและมนุษย์  ผีที่ใกล้ชิดชาวบ้านอีสานมากที่สุดคือ  ผีปู่ตา  ซึ่งถือว่าเป็นผีบรรพบุรุษที่มาคอยปกปักรักษาลูกหลาน  คอยช่วยเหลือชาวบ้านที่มีทุกข์ร้อน  ชาวบ้านจะสร้างศาลปู่ตาไว้ที่ป่าใกล้บ้านเรียกว่า ป่าปู่ตา  เป็นป่าที่ศักดิ์สิทธิ์
 
          นอกจากนี้ชาวอีสานยังเชื่อเรื่องขวัญว่าขวัญเป็นสิ่งรวมศูนย์ชีวิตแต่มองไม่ เห็น  สัมผัสไม่ได้  มีการทำพิธีสู่ขวัญหรือเรียกขวัญเพื่อสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิต ในพิธีชาวบ้านจำนวนมากจะเอามือแตะตัวอีกคนต่อๆ กันเพื่อจะรวมกันส่งพลังให้จนถึงบุคคลหนึ่งที่พวกเขาช่วยกันเเรียกขวัญกลับ มาเป็นสัญลักษณ์ว่าชุมชนระดมจิตใจมาช่วยส่งเสริมเจ็บป่วยหรือผู้ที่มีปัญหา หรือผู้ที่เขาต้องการให้แช่มชื่น  เช่น  สู่ขวัญเด็ก  สู่ขวัญบ่าวสาว  สู่ขวัญคนป่วย  เป็นต้น ชาวอีสานเชื่อว่าสาเหตุของการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากสาเหตุต่างๆ  มากมายหลายประการ  เช่น  เจ็บป่วยเพราะผีเข้า  เจ็บป่วยเพราะกินเหล้าเมายา( ยาเสพติด )  เจ็บป่วยเพราะผิดคำบนบานศาลกล่าว  เจ็บป่วยเพราะความชรา  เจ็บป่วยเพราะโศกเศร้าเสียใจ  เจ็บป่วยเพราะกินอาหารแสลงขณะอยู่ไฟ  เจ็บป่วยเพราะกินอาหารไม่เลือก  เจ็บป่วยเพราะตกต้นไม้เพราะควายชน( อุบัติเหตุ )  เจ็บป่วยเพระถูกยาสั่งหรือถูกลองของ  เจ็บป่วยเพราะเป็นฝีในท้องหรือวัณโรค  เจ็บป่วยเพราะถูกทำร้ายร่างกาย  เจ็บป่วยเพราะมีพยาธิเข้าสู่ร่างกาย  เจ็บป่วยเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง  เจ็บป่วยเพราะคิดถึงคนรักที่อยู่ต่างแดน  เจ็บป่วยเพราะเกียจคร้าน  เจ็บป่วยเพราะต้องการให้ลูกหลานเอาใจ (คนแก่)  เป็นต้น
         
 นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจดูอาการในการตรวจวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยดังนี้  ดูสีผิวและสีตาผู้ป่วย  จับดูขาจับดูแข้ง  ลูบคลำในบริเวณที่เจ็บป่วย  ดูความเย็นความร้อนของร่างกายผู้ป่วย  ดูอาการหายใจของผู้ป่วย  ดูสีไฝและสีปานของผู้ป่วย  ดูสีหน้าความแดงและความซีดของผู้ป่วย  เป็นต้น หมอพื้นบ้านอีสาน  สามารถจำแนกตามลักษณะของการรักษาอันเนื่องมาจากสาเหตุของโรค (etiology)  แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ

1. หมอที่รักษาผู้ป่วยอันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคที่เป็นธรรมชาติ”  หรือเนื่องมาจาก พยาธิ”  และความผิดปกติของธาตุทั้งสี่  ได้แก่
  • http://www.pharmacy.msu.ac.th/exhibition_new/Images/med-hi15.jpgหมอยาฮากไม้ 
  • หมอเป่า 
  • หมอน้ำมนตร์  
  • หมอเอ็น   
2.   หมอที่รักษาด้วยพิธีกรรม/สาเหตุของโรคเนื่องจากสิ่งที่เหนือธรรมชาต
    โรคเหนือธรรมชาติ ได้แก่ โรคเนื่องจากฝีต่าง ๆ เจ้าที่ หรือการปฏิบัติตนที่ละเมิดฝ่าฝืนทำนองคลองธรรมของครอบครัว หรือ ชุมชน การรักษาจะต้องมีพิธีกรรม หมอเหล่านี้ได้แก่
  • หมอพระ  
  • หมอลำผีทรง  
  • หมอธรรม 
  • หมอพร หรือ หมอสู่ขวัญ หรือพาม (พราหมณ์) 

http://www.pharmacy.msu.ac.th/exhibition_new/Images/med-hi13.jpg

3. หมอตำแย    หมอตำแยที่เป็นผู้หญิงและผู้ชายสามารถปฏิบัติงานได้แตกต่างกันคือหมอตำแยผู้หญิงจะทำหน้าที่เฉพาะการทำคลอด และการทำความสะอาดเด็กเท่านั้น ส่วนขั้นตอนต่อไปคือพิธีกรรมการเอาแม่ลูกอ่อนอยู่ไฟนั้นเป็หน้าที่ของหมอเป่า หรือกรณีคลอดยากอาจต้องให้หมอเป่าทำน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์ดื่มเรียกว่าสะเดาะ แต่หมอตำแยผู้ชายสามารถทำได้ทุกขั้นตอนคือตั้งแต่การทำคลอด การทำความสะอาดเด็ก จนกระทั่งถึงพิธีกรรมการเอาแม่ลูกอ่อนอยู่ไฟ